www.Nattakae.webs.com
เศรษฐกิจการเงิน | การพัฒนาเศรษฐกิจ | เศรษฐกิจยางพารา | WEBBOARD | BLOG | แนะนำตัว

 

โครงสร้างของเปลือกยางและท่อน้ำยาง

การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นยางพาราจะแตกต่างจากพืชอื่น ๆ ทั่วไป โดยได้จากการกรีด ตัดส่วนของท่อน้ำยางในเปลือกยาง ทำให้น้ำยางที่มีอยู่ในท่อน้ำยางไหลทะลักออกมาชั่ว ระยะหนึ่งแล้วหยุด ผลผลิตยางจะได้มากหรือน้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับช่วงระยะเวลาใน การไหลของน้ำยาง กับความเข้มข้นของน้ำยาง ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้จะขึ้นอยู่กับพันธุ์ สภาพแวดล้อม การดูแลรักษาต้นยาง และการกรีด ถึงแม้จะ ปลูกด้วยยางพันธุ์ดี แต่การดูแลรักษาไม่ดี หรือปลูกในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ผลผลิตที่ได้ก็จะไม่สูงเท่าที่ควร นอกจากนี้โครงสร้างของเปลือก ในชั้นต่าง ๆ จำนวนวงของท่อน้ำยางตลอดจน ขนาด และความหนาแน่น ของท่อน้ำยาง ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด กับผลผลิต และ ยังจะสามารถ บอกถึงความสามารถจริง ๆ ในการให้ผลผลิตของต้นยางนั้น ๆ และสาเหตุที่ทำให้ต้นยางนั้น ๆ ให้ผลผลิตไม่สูงเท่าที่ควร ซึ่งในการศึกษาโครงสร้าง ของเปลือกยางดังกล่าวนี้ นอกจากจะทำให้ทราบความสามารถในการให้ผลผลิตแล้ว ยังทราบถึงสุขภาพ และความสมบูรณ์ของต้นยาง ได้อีกด้วย จะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากต้นยางได้เต็มที่ และยืดระยะเวลาในการกรีดให้ยาวนานออกไปได้ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ จะต้องคำนึงถึงในการเก็บเกี่ยวผลผลิตยางที่สำคัญมากอีกปัจจัยหนึ่งคือ การกรีดยาง ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อผลผลิตที่จะได้รับถึงแม้ต้นยาง จะสมบูรณ์มีจำนวนวงท่อน้ำยางมาก แต่ถ้าในการกรีดใช้มุมกรีด และความยาวรอยกรีดไม่เหมาะสมกรีดตื้นไม่ถึงเปลือกชั้นในสุด ตัดท่อน้ำยาง ได้ไม่มากและเอียงมุมมีดไม่ถูกต้อง ทำให้น้ำยางไหลบ่า ซึ่งปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้จะมีผล ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่สูงเท่าที่ควร

โครงสร้างของเปลือกยาง

เปลือกยาง (Bark) ห่อหุ้มอยู่ภายนอกต้นยางเป็นส่วนของท่ออาหารที่เกิดจากการแบ่งตัวออกมาทางด้านนอกของเยื่อเจริญ (Cambium) ซึ่งเป็น เนื้อเยื่อชั้นบาง ๆ อยู่ระหว่างเนื้อไม้ และเปลือกไม้ การแบ่งตัวนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา ถ้าแบ่งตัวออกทางด้านนอกจะกลายเป็นเปลือกยาง และแบ่งตัวเข้าทางด้านในจะเป็นเนื้อไม้ ใน การศึกษาเกี่ยวกับผลผลิตของต้นยาง จะเน้นที่เปลือกยางซึ่งเป็นแหล่งเก็บ เกี่ยวผลผลิตเท่านั้น เพราะเป็นที่ อยู่ของท่อน้ำยาง ส่วนในเนื้อไม้ จะไม่มีน้ำยางเพราะไม่มีท่อน้ำยาง

ในส่วนของเปลือกยาง เนื้อเยื่อที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ก็จะดันเนื้อ เยื่อส่วนที่เกิดขึ้นก่อน ออกมาทางด้านนอก ดังนั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เยื่อเจริญ จึงเป็นเนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่ และมีความสมบูรณ์ที่สุด เมื่อต้นยางมีอายุมากขึ้น เนื้อเยื่อ ที่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งอยู่ไกลจากเยื่อเจริญ โดยเฉพาะเซลล์พวก Parenchyma บางเซลล์จะมีผนังหนาขึ้น เนื่องจากมีสารลิคนิน (Lignin) มาสะสมที่ผนังเซลล์ เกิดเป็น Stone cell ที่มีขนาดของเซลล์ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่ง Stone cell เหล่านี้ เมื่อขยายรุกล้ำ เข้าไปในชั้น หรือวงของท่อน้ำยาง จะทำให้ท่อน้ำยางในวงนั้น ๆ ไม่สมบูรณ์ ขาดการติดต่อกัน Stone cell นี้ ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นมีลักษณะคล้ายเม็ดทราย และเป็นส่วนที่ทำให้เปลือกยางแข็งมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าต้นยางที่ปลูกในที่ไม่เหมาะสม หรือการดูแลรักษาไม่ดี นอกจากจะให้ผลผลิตต่ำแล้วเปลือกยางยังแข็ง และกรีดยาวกว่าปกติ การเกิด Stone cell จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสาเหตุหลายประการ เช่น พันธุ์ยาง อายุของต้นยาง สภาพแวดล้อม ความชื้น ในดิน และความอุดมสมบูรณ์ของดิน

เปลือกยาง

แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ตามลักษณะของเนื้อเยื่อและการเกิดของ Stone cell ในเปลือกยาง ดังนี้คือ

1.เปลือกชั้นในสุด (Soft bark zone) อยู่บริเวณที่ติดกับเยื่อเจริญ หรือใกล้กับเนื้อไม้เป็นเนื้อเยื่อและท่อน้ำยางที่สร้างขึ้นมาใหม่ จึงเป็นชั้นที่มี จำนวนวงท่อน้ำยาง หนาแน่นและสมบูรณ์ที่สุด เฉพาะฉะนั้นผลผลิต สูงสุดของต้นยางแต่ละต้นจะอยู่ที่บริเวณนี้ แต่ความหนาของ เปลือกยางชั้นนี้ค่อนข้างบาง คือประมาณ 20-30% ของความหนา ของเปลือกทั้งหมด เท่านั้น และจะไม่มี Stone cell เลย จึงทำให้เนื้อเยื่อในชั้นนี้ค่อนข้างอ่อนนุ่น

2.เปลือกชั้นนอก (Hard bark zone) อยู่ถัดจาก เปลือกชั้นในสุด ออกมาทางด้านนอก เป็นชั้นที่เยื่อเจริญ สร้างขึ้นก่อนแล้วถูกดันออกมาทางด้านนอก เมื่อมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ขึ้นมาแทนที่ ในชั้นนี้จะมี Stone cell เกิดขึ้น ซึ่ง Stone cell เหล่านี้ จะทำให้เปลือกยางแข็ง ท่อน้ำยางไม่สมบูรณ์ ขาดเป็นช่วง ๆ ไม่ติดต่อกัน เป็นผลให้บริเวณนี้มีผลผลิต ค่อนข้างต่ำ ถึงแม้จะเป็นชั้นของเปลือกที่หนากว่าชั้นอื่น ซึ่งมีความหนา ถึง 70 - 80% ก็ตาม

3.ชั้นของคอร์ค (Cork) เป็นชั้นของเปลือกนอกสุด ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่ตายแล้วทำหน้าที่ห่อหุ้ม ป้องกัน และรักษาความชื้นให้แก่ส่วน ของเปลือกที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน

ท่อน้ำยาง

ท่อน้ำยาง (Laticiferous Vessel หรือ Laticifer หรือ Latex vessel) เกิดจากการแบ่งตัวของเยื่อเจริญ โดยที่กลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน มาเชื่อมต่อกัน แล้วผนังเซลล์หัวท้ายสลายตัว อาจเพียงบางส่วนหรือสลายตัวหมดกลายเป็นท่อเดียวกันแล้วแตกสาขา และยังเชื่อมต่อกับเซลล์ชนิด เดียวกันที่อยู่ข้างเคียง โดยการสลายตัวของผนังเซลล์ด้านข้างเกิดเป็นช่องเปิดติดต่อกันได้ ทำให้มีลักษณะคล้ายร่างแห หรือเป็นลักษณะที่เรียกว่า Articulated anastomosing laticifer (ภาพด้านล่าง)

ภาพลักษณะ Articulated anastomosing laticifer ของท่อน้ำยาง แสดงรอยเชื่อมถึงกันได้ของท่อน้ำยาง (Rangential section : osmium tetoxide)

ท่อน้ำยาง จะเรียงตัวกันเป็นวงรอบลำต้น น้ำยางจึงสามารถติดต่อกันได้ทางรอยเปิดดังกล่าว ภายในวงเดียวกันรอบลำต้น แต่ไม่สามารถติดต่อกันได้ ระหว่างวง (ในอดีตที่ผ่านมา มีรายงานว่า ท่อน้ำยางอาจมีการติดต่อระหว่างวงได้บ้าง แต่น้อยมากแต่ในปัจจุบันเมื่อมีการตรวจสอบ ภายใต้กล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอน แล้วพบว่า ไม่สามารถติดต่อถึงกันระหว่างวงได้) โดยระหว่างวงของท่อน้ำยางจะมีเซลล์พวก Parenchyma ขนาบทั้งสองข้างเป็นชั้น ๆ สลับกัน ซึ่งโดยทั้งสองวิธีจะเห็น Parenchyma cells คั่นอยู่ระหว่างวงท่อน้ำยาง แต่เมื่อตัดเปลือกยางทางด้าน Tangential saction ซึ่งจะตั้งฉากกับ Long section แล้ว จะเห็นว่าท่อน้ำยาง ไม่เป็นท่อเดี่ยว ๆ แต่จะประสานตัวคล้ายร่างแห มีรอยเปิดถึงกันได้ภายในวงเดียวกัน (ภาพด้านล่าง)

การเรียงตัวของท่อน้ำยาง

ท่อน้ำยางเรียงตัวรอบลำต้นตามแนวดิ่งเป็นชั้น ๆ โดยทั่วไปอยู่ในลักษณะเอียงไปทางขวาจากแนวดิ่งเล็กน้อย ประมาณ 2.1 - 2.7?องศา ในบางพันธุ์อาจ พบว่าท่อน้ำยางวางตัวเอียงไปทางซ้ายจากแนวดิ่งประมาณ 3.2 - 3.8 องศา แต่มีเพียงส่วนน้อยที่มีลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นจึงต้องกรีดยางจากซ้ายไปขวา ในแนวเฉียงเพื่อให้ตัดจำนวนท่อน้ำยางได้มากกว่าทำให้การไหลน้ำยางอยู่ในอัตราความเร็วที่เหมาะสม และไหลได้นาน ซึ่งทำให้ได้รับ ผลผลิตสูงขึ้นตามที่ควรจะเป็น มีรายงานว่าจะสามารถให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อหน้ากรีดยางเฉียง 25 องศา จากแนวระดับ และ 15.4% เมื่อหน้ากรีดเฉียง 45 องศา ในต้นที่ปลูกจากเมล็ด

ปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนวงของท่อน้ำยาง

1. พันธุ์ยาง

ต้นยางแต่ละพันธุ์จะมีจำนวนวงของท่อน้ำยางในเปลือกเฉลี่ยไม่เท่ากัน พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงมักจะมีจำนวนวงของท่อน้ำยางสูง โดยเฉพาะท่อน้ำยาง ในชั้นของเปลือกชั้นในสุด จึงใช้จำนวนวงของท่อน้ำยางเป็นดัชนีหนึ่ง ประกอบการคัดเลือกพันธุ์ยาง

2. อายุของต้นยาง

เมื่อต้นยางมีอายุมากขึ้น เยื่อเจริญจะแบ่งตัวออกทางด้านนอก ทำให้ความหนาของเปลือกเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการสร้างท่อน้ำยางเพิ่มขึ้นควบคู่ กันไปด้วย โดยทั่ว ๆ ไปความหนาของเปลือก และจำนวนวงของท่อน้ำยางจะเพิ่มในอัตราค่อนข้างสูงเมื่อต้นยางมีอายุน้อย เนื่องจากอยู่ในระหว่างกำลัง เจริญเติบโต และหลังจาก 15 ปีไปแล้ว หรือหลังจากมีการกรีดยางแล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นของเส้นรอบวงต้นจะลดลง เพราะอาหารธาตุที่ต้นยาง สร้างขึ้นส่วนหนึ่งจะต้องนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ยาง

3. ความชื้นในดิน

ความชื้นในดินจะมีผลต่อการแบ่งเซลล์ของเยื่อเจริญ และความหนาของเปลือก โดยเฉพาะความหนาของเปลือกชั้นในสุด ในสภาพอากาศแห้งแล้ง ความชื้นในดินต่ำมาก และถ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน การเกิด Stone cell จะเกิดขึ้นเร็ว และปริมาณมาก ทำให้ความหนาของเปลือกชั้นในสุดลดลง แต่เปลือกชั้นนอกจะหนาขึ้นมาก และจำนวนวงท่อน้ำยางที่สมบูรณ์ จะลดลงด้วย(ภาพด้านล่าง)

4. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ดินที่ขาดธาตุอาหาร จะส่งผลให้การแบ่งตัวของเยื่อเจริญไม่เป็นไปตามปกติ และ Stone cell จะเกิดขึ้นได้ง่ายเช่นเดียวกับการที่ความชื้นในดินต่ำ

5. ความสูง

ความสูงระดับต่าง ๆ บนลำต้น ต้นยางที่ปลูกจากเมล็ดจะมีจำนวนวงของท่อน้ำยางลดลงที่ระดับความสูงของลำต้นจากพื้นดินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องจากจำนวนวง ของท่อน้ำยางมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความหนาของเปลือก (ในต้นปกติ) และต้นที่ปลูกจากเมล็ดจะมีความหนาของเปลือกลดลงที่ความสูง ของลำต้นเพิ่มขึ้น เนื่องจากลำต้นมีลักษณะเป็นรูปกรวย (Cone shape) คือลำต้นเรียวจากโคนต้นขึ้นไปหาปลายต้น ดังนั้นการลดลง ของจำนวนวงท่อน้ำยาง ก็เนื่องมาจากลักษณะดังกล่าวนี้ด้วย สำหรับในต้นติดตาพบว่า การที่ลำต้นของยางประเภทนี้ค่อนข้างเป็นทรงกระบอก (Cylinder shape) ตรงจุดที่มีเส้นรอบวงของลำต้นใกล้เคียงกัน ความหนาของเปลือกก็จะใกล้เคียงกันด้วย ซึ่งมีผลทำให้จำนวนวงของท่อน้ำยาง ไม่แตกต่างกันมากนัก

6. ระยะห่าง

ระยะห่างของท่อน้ำยางจากเยื่อเจริญ ความหนาแน่น และจำนวนวงท่อน้ำยาง เป็นลักษณะประจำพันธุ์ โดยทั่วไปพบว่าประมาณ 40% ของวงท่อน้ำยาง อยู่ระหว่าง 1 มม. จากเยื่อเจริญและค่อย ๆ ลดลงเป็นศูนย์ (เฉพาะวงของ ท่อน้ำยาง ที่สมบูรณ์) ที่ระยะห่างประมาณ 5-8 มม.

เปลือกยางและท่อน้ำยางที่เกี่ยวกับการกรีดและการให้ผลผลิต

โครงสร้างของเปลือกยางและท่อน้ำยาง จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการกรีดและการให้ผลผลิต โดยผลผลิตจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย ต่าง ๆ ดังนี้ คือ

1. จำนวนของท่อน้ำยาง

จำนวนวงของท่อน้ำยาง จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับผลผลิต ผลผลิตจะสูงเมื่อจำนวนวงของท่อน้ำยาง ในส่วนของเปลือกชั้นในสุด มีจำนวนมาก โดยปกติจำนวนวงของท่อน้ำยาง จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ประมาณ 1.74 - 3.14 วงต่อปี แต่จะไม่เป็นจำนวนสะสม เพราะท่อน้ำยางที่สร้างขึ้นมาก่อน ก็จะถูกดันร่นออกไปด้านนอกเรื่อย ๆ ในที่สุดก็จะเป็นวงท่อน้ำยางที่ไม่สมบูรณ์อยู่ในเปลือกชั้นนอก ซึ่งให้ผลผลิตน้อยมากหรือไม่ให้เลย

2. เส้นผ่าศูนย์กลาง

เส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำยาง ท่อน้ำยางในเปลือกยางจะมีขนาดแตกต่างกันตามพันธุ์ การดูแลรักษาและตำแหน่งภายในเปลือก โดยทั่วไปจะ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในท่อประมาณ 30 ไมครอน นอกจากจำนวนวงของท่อน้ำยางแล้วขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ ก็มีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับผลผลิตเช่นเดียวกัน คือท่อน้ำยางขนาดใหญ่ จะทำให้น้ำยางไหลได้สะดวก รวดเร็วปริมาณมาก และไหลได้นาน เนื่องจากการอุดตัน เกิดขึ้นช้าลง

3. ความเข้มข้นของน้ำยาง

ความเข้มข้นของน้ำยางซึ่งแตกต่างกันตามพันธุ์ สภาพแวดล้อม ระบบกรีดและฤดูกาล ในช่วงที่กรีดยาง โดยทั่ว ๆ ไป น้ำยางจะมีความเข้มข้นประมาณ 35% และต้นยางที่ให้ผลผลิตสูง มักจะมีความเข้มข้นของน้ำยางต่ำกว่าต้นยางที่ให้ผลผลิตต่ำ เนื่องจากการให้ผลผลิตสูง หมายถึงต้นยางมีช่วงเวลาการ ไหลของน้ำยางนาน ก่อนที่จะมีการอุดตัน ดังนั้นเมื่อน้ำยางในท่อน้ำยางไหลออกมามาก เซลล์ที่อยู่ข้างเคียง (Parenchyma cells) ที่ไม่ใช่ท่อน้ำยาง จะต้องส่งน้ำเข้าไปในเซลล์ท่อน้ำยาง เพื่อรักษาสมดุลย์ภายในท่อน้ำยาง และป้องกันไม่ให้แฟบ ดังนั้นน้ำส่วนหนึ่งก็จะไหลออกมา พร้อมกับน้ำยางด้วย ทำให้น้ำยางเจือจางลง เช่นเดียวกับการใช้สารเคมีเร่งน้ำยาง เป็นการยืดระยะเวลาการไหลของน้ำยาง หรือทำให้เกิดการอุดตันช้าลง ซึ่งน้ำยางจากต้นที่ ทาสารเคมีเร่งน้ำยาง ก็จะยิ่งมีความเจือจาง แต่ผลผลิตในภาพรวมของ ต้นยางเหล่านี้จะสูงกว่าพวกที่มี ความเข้มข้นของน้ำยางสูง ซึ่งน้ำยางที่มีความเข้มข้นสูง จะมีความหนืดสูงการไหลของน้ำยางจะช้า เกิดการอุดตันได้เร็ว และระยะเวลาการไหลของน้ำยางจะสั้น ผลผลิตจึงต่ำกว่า

4. มุมของรอยกรีด

มุมของรอยกรีดในการกรีดยาง จะกรีดในแนวเฉียง โดยให้กรีดจากด้านซ้ายมาขวา และให้ด้านซ้ายสูง ด้านขวาต่ำเอียงทำมุม 30-35 องศา กับแนวระดับสำหรับต้นติดตา และ 25 องศาสำหรับต้นกล้ายาง นอกจากจะทำให้สามารถตัดจำนวนวงท่อน้ำยางได้มาก แล้วยังทำให้ท่อน้ำยาง ไหลในอัตราความเร็วที่เหมาะสม ถ้าอัตราการไหลของน้ำยางเร็วเกินไป หรือมุมของรอยกรีดชันเกินไป จะทำให้เกิดการอุดตันเร็วขึ้น เนื่องจากในน้ำยางมีอนุภาคของ Lutoid จำนวนมากแขวนลอยอยู่ Lutoid นี้จะมีผนังเปราะบาง และภายในประกอบด้วยกรด Phosphatase ซึ่งถ้าน้ำยางไหล ในอัตราที่เร็วเกินไป Lutoid ก็จะแตกทำให้กรด Phosphatase ภายในออกมารวมกับกรดชนิดเดียวกันนี้ที่เป็นส่วนผสมในน้ำยาง (Free acid phosphatase) ทำให้เกิดสภาพเป็นกรดมากขึ้นในน้ำยาง มีผลทำให้อนุภาคของยางในท่อน้ำยางจับตัวกัน แล้วไปอุดตันปากท่อน้ำยาง และน้ำยางหยุดไหลเร็วขึ้น ดังนั้นในการกรีดจึงต้องใช้ความสำคัญต่อมุมของรอยกรีดด้วย

5. ความยาวของรอยกรีด

ความยาวของรอยกรีดมีความสำคัญต่อผลผลิตมาก ถ้ารอยกรีดยาว การตัดจำนวนท่อน้ำยางจะมาก ซึ่งทำให้ท่อน้ำยางไหลได้เร็ว และมากขึ้น รวมทั้งน้ำยางจากท่อน้ำยางที่ไม่ได้กรีด ซึ่งอยู่ด้านตรงกันข้ามของรอยกรีด แต่อยู่ในวงเดียวกันกับที่ถูกกรีด ก็สามารถไหลออกที่หน้ากรีดได้ เนื่องจากน้ำยางภายในวงเดียวกัน ไหลติดต่อกันได้เป็นวงรอบต้น เพราะมีรอยเปิดถึงกันได้ดังกล่าวแล้วข้างต้น ถึงแม้ว่าพันธุ์หรือระบบกรีดนั้น จะมีค่าดัชนีอุดตัน (Plugging index) สูงก็ตาม ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงขนาดของลำต้น และความสิ้นเปลืองเปลือกควบคู่ไปด้วย

6. ความลึกของรอยกรีด

ความลึกของรอยกรีดตามที่จำนวนวงของท่อน้ำยางหนาแน่น ในบริเวณเปลือกชั้นในสุด โดยเฉพาะในระยะ 1-3 มม. ของเยื่อเจริญ ดังนั้นในการกรีดยาง ควรจะกรีดให้ถึงบริเวณนี้ แต่จะต้องไม่ทำลายชั้นของเยื่อเจริญ หรือเกิดบาดแผล เนื่องจากเยื่อเจริญเป็นส่วนที่สร้างเนื้อเยื่อใหม่มาทดแทน ถ้าหากถูกทำลายก็จะไม่สามารถสร้างเปลือกใหม่ในบริเวณนั้นได้ หรือทำให้เปลือกงอกใหม่ไม่เรียบสม่ำเสมอ เป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากเปลือกงอกใหม่จะไม่สะดวก มีการศึกษาพบว่าโดยทั่วไป การกรีดยางมักจะเหลือส่วนของเปลือกชั้นใน สุดอยู่อย่างน้อยประมาณ 1.3 มม. ซึ่งยังคงเหลือท่อน้ำยางไว้บนต้นยาง โดยไม่ได้กรีดถึง 50% อันหมายถึง ผลผลิตอย่างน้อย 50% ยังคงค้างอยู่บนต้น หรืออาจจะมากกว่า เพราะท่อน้ำยางที่ยังไม่ได้รับการกรีดนี้เป็นท่อน้ำยางที่สมบูรณ์ที่สุด ถ้ากรีดเหลือ 1 มม. จากเยื่อเจริญจะกรีดได้ถึง 52% ของท่อน้ำยางทั้งหมด หรือถ้ากรีดเหลือ 0.5 มม. จากเยื่อเจริญ จะตัดวงท่อน้ำยางได้ถึง 80% ทั้งนี้จะต้องระวังว่า ต้องกรีดไม่ทำลายเยื่อเจริญ ดังกล่าวข้างต้น

7. การเอียงมุมมีดในการกรีด

ในการกรีดยางจะต้อง กรีดเปลือกให้เป็นร่อง เพื่อให้น้ำยางไหล ไปลงที่ถ้วยรองรับได้สะดวก ดังนั้นการวางมุมมีด ก็มีความสำคัญ ถ้าร่องกรีดเป็นมุมป้านมาก จะทำให้น้ำยางไหลไม่สะดวก

ที่มา สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง

 

 

 

 


เศรษฐกิจการเงิน   |  การพัฒนาเศรษฐกิจ  |  เศรษฐกิจยางพารา  |  WEBBOARD  |  BLOG  |  แนะนำตัว